“Your Turn II”: อีกหนึ่งเสาหลักในจักรวาลศิลปะไร้ขอบเขตของ Billie Eilish
ศิลปินคนดังเล่าถึงหลงใหลไม่รู้จบในโลกของกลิ่น แรงบันดาลใจจากความเป็น androgyny และบทบาทด้านน้ำหอมที่เชื่อมต่อโดยตรงกับโลกดนตรีของเธอ
Billie Eilishจะไม่มีวันลืมกลิ่นของคุณเลย
เธอยังจำได้ด้วยว่ากลิ่นของเดตแรกในปี 2017 เป็นอย่างไร เช่นเดียวกับกลิ่นวันคริสต์มาสตอนอายุห้าขวบ กลิ่นงานมีตแอนด์กรีตครั้งแรกในชีวิต และกลิ่นของทุก ๆ เวทีที่เธอขึ้นแสดง จริง ๆ แล้ว ในหนึ่งในทัวร์แรก ๆ ของเธอ เธอถึงขั้นบอกแฟน ๆ ให้เอากลิ่นที่ตัวเองรักติดตัวมาที่โชว์ และทุกคนก็ทำกันจริง ๆ ท้ายที่สุดเลยกลายเป็นว่า Eilish ปิดทัวร์ด้วยถุงใบยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยน้ำหอมซิกเนเจอร์ของแฟน ๆ นับพันนับหมื่นกลิ่น กลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างน้ำหอมและกลิ่นที่พวกเขาผูกพันด้วย
“ฉันอยากเก็บบางส่วนของพวกเขาไว้กับตัวเอง” เธอเล่าผ่านสาย Zoom พร้อมเน้นย้ำว่ากลิ่นมีบทบาทสำคัญแค่ไหนต่อวิธีที่เธอจดจำเรื่องราวต่าง ๆ
“ฉันก็ยังจมูกดีเกินเหตุด้วย” เธอหัวเราะ “ฉันจะชอบพูดประมาณว่า ‘อุ๊ย กลิ่นนี้เหมือนวันนั้นในปี 2008 ตอนเราไปที่ร้านนั้นเลย’ หรือไม่ก็ ‘กลิ่นนี้เหมือนคนนั้นคนนี้เป๊ะ’ ฉันทำแบบนี้ตลอดเวลา ซึ่งบางคนอาจจะรำคาญก็ได้ แต่สำหรับฉันแล้ว fragrance นี่น่าหลงใหลมากจริง ๆ”
Eilish เรียกตัวเองมาตลอดว่า “คลั่งไคล้” เรื่องกลิ่น เป็นคนที่ใช้กลิ่นมาปั้นแต่งความทรงจำอย่างจริงจัง เธอเล่าว่าโลกที่เธอสร้างขึ้นผ่านBillie Eilish Fragrancesก็เป็นเหมือนการต่อยอดจากดนตรีและงานศิลปะโดยรวมของเธอเท่านั้น
สำหรับศิลปินที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของทุกโปรเจกต์สร้างสรรค์อย่าง Eilish เธอมองไลน์น้ำหอมของตัวเองไม่ต่างจากงานศิลปะแขนงหนึ่ง และเชื่อจริง ๆ ว่ากลิ่นเหล่านี้คือภาพสะท้อนโดยตรงของดนตรีที่เธอสร้างขึ้น
“เหมือนกับดนตรีของฉัน น้ำหอมของฉันก็สำหรับทุกคน” เธอเล่า โดยเธอได้อิสรภาพทางความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจจากความไร้กรอบเรื่องเพศและความเป็น androgynous ของ fragrance “ฉันอยากให้มันเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้”
ความคิดนี้เองที่เป็นเข็มทิศให้กับการผจญภัยในโลกกลิ่นครั้งล่าสุดของเธอ กับน้ำหอมตัวใหม่ในซีรีส์ “Your Turn” อย่าง “Your Turn II” ซึ่งนอกจากกลิ่นโทนไม้ผสานวานิลลาที่ทรงพลังแล้ว ดีไซน์ขวดน้ำหอมที่ได้แรงบันดาลใจจากลูกเต๋าก็สำคัญกับ Eilish ไม่แพ้กัน เธอมองว่าทุกขวดไม่ได้เป็นแค่ภาชนะใส่น้ำหอม แต่คือชิ้น homeware อิสระที่สามารถตั้งเด่นได้ด้วยตัวเอง
ไปฟัง Eilish เล่าต่อในบทสนทนาข้างล่างนี้
เริ่มจากตรงนี้เลย คุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าคุณผูกพันกับ fragrance ยังไงบ้าง?
ทั้งชีวิตของฉัน ฉันหมกมุ่นกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับกลิ่นมาตลอด จำไม่ได้เลยว่ามีช่วงไหนที่ไม่เป็นแบบนั้น แล้วฉันก็เป็นคนจมูกดีเว่อร์ ซึ่งมันก็ดีแต่ก็น่าปวดหัวเหมือนกัน ฉันชอบพูดว่า “อุ๊ย กลิ่นนี้เหมือนวันนั้นในปี 2008 ตอนเราไปร้านนั้นเลย” หรือ “กลิ่นนี้เหมือนคนนั้นคนนี้เป๊ะ” ฉันทำแบบนี้ตลอด ซึ่งบางคนคงรำคาญ แต่สำหรับฉัน fragrance มันน่าสนใจมาก ๆ แล้วนี่แหละคือวิธีที่ฉันจำเรื่องต่าง ๆ
คุณตัดสินใจว่าจะกระโดดเข้ามามีบทบาทจริงจังในโลก fragrance ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ฉันมี fragrance เต็มชั้นวางมาตลอด แต่พูดตรง ๆ เลยคือไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสร้างน้ำหอมขึ้นมาจริง ๆ แล้วปล่อยออกไปสู่โลก ฉันมีไอเดียเรื่องกลิ่นวานิลลาแบบเฉพาะเจาะจงมาก ๆ อยู่ในหัวมาหลายปี แค่อยากได้ไว้ใช้เอง ฉันรู้เลยว่าฉันอยากให้มันมีกลิ่นยังไง เป๊ะทุกโน้ต ฉันลองหาน้ำหอมที่ตรงกับภาพในหัว แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ฉันหาไปทั่ว จำได้ว่าถามทีมว่า “เราหาคนมาสร้างกลิ่นนี้ให้ตรงตามที่ฉันคิดได้ไหม” แล้วมีคนบอกว่า “ได้สิ แต่จริง ๆ เธอทำน้ำหอมของตัวเองเลยก็ได้นะ” ตอนแรกฉันแบบ “อะไรนะ ไม่ได้หรอกมั้ง” แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งฉันยังแทบไม่เชื่อเลย ทั้งกระบวนการมันบ้ามาก แต่ก็โคตรเท่ที่ได้สร้างสิ่งที่ฉันหลงใหลสุดหัวใจขึ้นมาจริง ๆ
ซิกเนเจอร์เซนต์กลิ่นแรกในชีวิตของคุณคืออะไร?
ฉันได้น้ำหอมกลิ่นแรก—ที่กลายมาเป็นซิกเนเจอร์ของฉัน—จาก CVS ตอนอายุ 12 จำได้ว่าชื่อออกแนว guava อะไรสักอย่าง ราคาแค่ประมาณห้าเหรียญเอง ฉันตื่นเต้นมากที่ตัวเองมีน้ำหอมใช้ ตอนนั้นฉันเป็นนักเต้น แล้วจำได้เลยว่าฉันใส่น้ำหอมกลิ่นนั้นไปเรียนบัลเลต์ ภาพมันชัดมาก เหงื่อออกตอนเต้น แล้วเหงื่อเหมือนไปกระตุ้นกลิ่นน้ำหอมให้ฟุ้งขึ้นมา จนฉันแบบ “ว้าว กลิ่นดีขนาดนี้เลยเหรอ”
มีความทรงจำสำคัญอะไรอีกไหมที่โยงกลับมาหา fragrance
ตอนฉันเพิ่งเริ่มออกทัวร์แรก ๆ ฉันจะเจอทุกคนที่เข้ามาในทุกเวที ก่อนหนึ่งในทัวร์ยุคแรก ฉันเคยโพสต์ว่า “ถ้าคุณจะมาดูโชว์ เอาน้ำหอมกลิ่นที่คุณรักมาให้ฉันหน่อย ฉันจะได้เก็บบางส่วนของพวกคุณไว้” แล้วทุกคนก็ทำจริง ๆ จบทัวร์นั้นฉันหอบถุงใบยักษ์ที่เต็มไปด้วยน้ำหอมของทุกคนกลับบ้าน แล้วฉันก็ใส่มันทุกกลิ่นเลย
ในสไตล์ส่วนตัวของคุณ fragrance เข้ามามีบทบาทยังไงบ้าง?
“Your Turn” คือกลิ่นประจำทั้งทัวร์ HIT ME HARD AND SOFT เลย มันคือน้ำหอมประจำ HIT ME HARD AND SOFT แบบเป็นทางการ ฉันฉีดมันทุกคืนก่อนขึ้นสเตจ ไม่เคยพลาด วันก่อนฉันลองเปลี่ยนไปใช้น้ำหอมอีกกลิ่นก่อนโชว์ แล้วมันรู้สึกไม่ใช่เลย กลิ่นนี้มันฝังอยู่ในรูทีนของฉันในฐานะกลิ่นประจำทัวร์ไปแล้ว ส่วน “Your Turn II” ฉันค้นพบว่ามันเป็นกลิ่นที่คนรอบตัวชมเยอะที่สุด หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของฉัน แล้วพวกเขาก็แบบ “โอ้ไม่นะ กลิ่นอะไรเนี่ย” แล้วนั่นก็คือสิ่งที่ฉันชอบที่สุดในโลก
แล้วถ้าลงลึกกว่านั้น การเล่าเรื่องผ่าน fragrance ของคุณ เชื่อมโยงกับการแสดงออกผ่านดนตรีของคุณยังไงบ้าง?
เหมือนกับดนตรีของฉัน น้ำหอมของฉันคือสำหรับทุกคน ฉันอยากให้มันเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน ฉันอินมากกับมิติที่ fragrance ไม่ผูกกับเพศ และในดนตรีเอง ถึงมันจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ฉันก็อยากให้สิ่งที่ฉันสร้างเข้าถึงและเกี่ยวข้องได้กับทุกคน ในฐานะผู้หญิงที่รู้สึกสบายใจกับความเป็น masculine มากกว่า นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันดึงดูด “Your Turn II” โดยเฉพาะมีความ androgynous สูงมาก คล้าย “Eilish No. 2” แต่คุณก็สามารถทำให้มันเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้เป็น ถ้าคุณเป็นผู้หญิงสาย feminine พอคุณใส่มัน มันก็จะดู feminine ถ้าคุณอยากให้มันรู้สึก masculine ก็ทำได้ คุณครีเอตได้ทุกอย่าง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ fragrance เท่มาก คุณอาจดมกลิ่นน้ำหอมเดี่ยว ๆ แล้วรู้สึกเฉย ๆ แต่พอเห็นผู้หญิงสวยสะกดใส่น้ำหอมกลิ่นนั้นอยู่ คุณจะแบบ “ว้าว” ทันที
คุณตัดสินใจเรื่องดีไซน์ขวด “Your Turn II” ยังไง แล้วมันเชื่อมโยงกับตัวกลิ่นยังไงบ้าง?
สำหรับฉัน ไม่ใช่แค่กลิ่นของ fragrance ต้องดีเท่านั้น แต่ตัวขวด—สิ่งที่ทุกคนมองเห็น—ต้องยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่เป็นขวดใส่น้ำหอม สองอย่างนี้สำคัญกับฉันพอ ๆ กัน ฉันจะถามตัวเองเสมอว่า ถ้าฉันเห็นมันวางอยู่บนชั้นในร้านวินเทจหรือร้านของเก่า ฉันจะซื้อไหม นั่นคือปรัชญาที่ฉันยึด กับ “Eilish” ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจากฟิกเกอร์ชิ้นเล็ก ๆ ที่ฉันซื้อจากปั๊มน้ำมันริมทางด่วนในเยอรมนี แค่เพราะฉันรู้สึกว่ามันดูเท่มาก ฉันเลยอยากสานต่อความรู้สึกแบบนั้นใน “Your Turn II” แล้วฉันก็มีไอเดียเรื่องลูกเต๋าอยู่ในหัวมานานแล้ว ฉันมีลูกเต๋าทองเหลืองน้ำหนักแน่นวางอยู่บนชั้นเกม แล้วก็คิดมาหลายปีว่าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอะไรที่เจ๋งได้ยังไง
ถ้า “Your Turn II” เป็นเพลงหนึ่งในดิสโกกราฟีของคุณ มันจะเป็นเพลงไหน และเพราะอะไร?
คงต้องเป็นเพลงจากอัลบั้ม HIT ME HARD AND SOFT แน่ ๆ น่าจะเป็น “CHIHIRO” เพราะมันลึกลับและหม่นมืด
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกบน Hypebeast














